English conversation

changklang



ที่ตั้งและอาณาเขต

อำเภอช้างกลางตั้งอยู่ทางตอนกลางค่อนไปทางทิศตะวันตกของจังหวัด มีอาณาเขตติดต่อกับเขตการปกครองข้างเคียง ดังนี้
  • ทิศเหนือ ติดต่อกับอำเภอฉวาง
  • ทิศตะวันออก ติดต่อกับอำเภอลานสกา
  • ทิศใต้ ติดต่อกับอำเภอทุ่งสงและอำเภอนาบอน
  • ทิศตะวันตก ติดต่อกับอำเภอฉวาง

ประวัติอำเภอช้างกลาง จังหวัดนครศรีธรรมราช

ประวัติความเป็นมา
             ชื่อ “ ชื่อช้างกลาง ” นั้นคู่เคียงกับ “ ช้างซ้าย ” และ “ ช้างขวา ” ในประวัติศาสตร์กิ่งอำเภอช้างกลาง (ชาลี ศิลปรัศมี อดีตข้าราชการครู อ.3 ระดับ 9 ผู้ศึกษาค้นคว้าประวัติศาสตร์พื้นบ้าน) กล่าวถึงที่มาของชื่อนี้ในประวัติศาสตร์โบราณคดี ว่าดังนี้ การยกทัพด้วยพล 17 หมื่น ของพระเจ้าสุชิตราชแห่งตามพรลิงค์ (นครศรีธรรมราช) ไปตีอาณาจักละโว้ เมื่อ พ.ศ. 1570 ย่อมแสดงว่านครศรีธรรมราช ได้ใช้กองทัพช้างตั้งแต่บัดนั้นมา และช้างป่าที่จับมาฝึกเป็นช้างศึก หรือใช้ในราชการ หรือช้างเผือกที่ส่งไปบรรณาการกรุงศรีอยุธยา ก็ได้ไปจากป่าเขาหลวงแถบเขาพระสุเมรุ หรือเขาเหมน ทุ่งสง ฉวาง นาบอน ทุ่งใหญ่ ถ้ำพรรณรา ลำพูล (พระแสง) นั้นเอง ช้างที่จับได้ฝึกหัดแล้วจากป่านี้ นครศรีธรรมราช จะจัดส่งเข้ากรมถึง 3 กรม คือ

            •  กรมช้างขวา ตั้งอยุ่ที่เวียงสระ สำหรับควบคุมช้างที่จับได้แถบลำพูล และควบคุมพื้นที่บริเวณลุ่มน้ำตาปี บริเวณปากแม่น้ำ ซึ่งขณะนั้นจังหวัดสุราษฎร์ธานียังไม่มี มีแต่ไชยาเก่าที่บ้านดอน สุราษฎร์ธานีเพิ่งตั้งเมื่อ พ.ศ. 2456

            •  กรมช้างกลาง ตั้งอยู่หมู่ที่ 5 ตำบลช้างกลาง เพื่อควบคุมช้างที่จับได้แถบป่าฉวาง ทุ่งใหญ่ นาบอน ทุ่งสง และกรมช้างกลางจะควบคุมพื้นที่ 4 หัวเมืองอันเป็นบริเวณยุทธศาสตร์ ด้านตะวันตกของเมืองนครศรีธรรมราช คือหัวเมืองพิปูน หัวเมืองกะเปียด หัวเมืองละอาย และหัวเมืองหลักช้างโดยกรมช้างกลางนี้ เป็นกลังหลักของกองทัพช้างของนครศรีธรรมราช มาเป็นเวลายาวนาน

            •  กรมช้างซ้าย ตั้งอยู่ตำบลช้างซ้าย ปัจจุบันอยู่ในเขตอำเภอพระ สำหรับพักช้างที่ใช้ในตัวเมืองรักษาพระนคร
ประวัติการจัดตั้ง

              อำเภอช้างกลางเดิมเป็นส่วนหนึ่งของอำเภอฉวาง กระทรงมหาดไทยได้ประกาศลงวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2539 แบ่งพื้นที่การปกครองออกมาตั้งเป็น กิ่งอำเภอช้างกลาง โดยให้มีผลบังคับต้งแต่วันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2539 ในปีเดียวกัน และต่อมาในวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2550 ได้มีพระราชกฤษฎีกายกฐานะขึ้นเป็น อำเภอช้างกลาง โดยมีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2550 ในปีเดียวกัน

การแบ่งเขตการปกครอง

การปกครองส่วนภูมิภาค

อำเภอช้างกลางแบ่งเขตการปกครองย่อยออกเป็น 3 ตำบล 36 หมู่บ้าน ได้แก่
1.ช้างกลาง(Chang Klang)17 หมู่บ้าน
2.หลักช้าง(Lak Chang)10 หมู่บ้าน
3.สวนขัน(Suan Khan)9 หมู่บ้าน

การปกครองส่วนท้องถิ่น

ท้องที่อำเภอช้างกลางประกอบด้วยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 3 แห่ง ได้แก่
  • องค์การบริหารส่วนตำบลช้างกลาง ครอบคลุมพื้นที่ตำบลช้างกลางทั้งตำบล
  • องค์การบริหารส่วนตำบลหลักช้าง ครอบคลุมพื้นที่ตำบลหลักช้างทั้งตำบล
  • องค์การบริหารส่วนตำบลสวนขัน ครอบคลุมพื้นที่ตำบลสวนขันทั้งตำบล

สถานที่สำคัญ

  • องค์การสวนยาง (สำนักงานใหญ่)
  • ศูนย์ท่องเที่ยวเชิงเกษตร อำเภอช้างกลาง
  • น้ำตกท่าแพ
  • วัดสวนขัน ตำบลสวนขัน
  • วัดมะนาวหวาน ตำบลหลักช้าง
 สถานที่ท่องเที่ยวของ อำเภอช้างกลาง




อยู่หมู่ที่ 14 ตำบลช้างกลาง สามารถเดินทางจากตัวเมืองนครศรีธรรมราชไปตามเส้นทางสายนครศรีธรรมราช-จันดี-ฉวาง-บ้านส้อง (ทางหลวงหมายเลข 4015) 36 กม. และมีทางแยกขวามือ มีป้ายบอกทางเข้าน้ำตกท่าแพประมาณ 2 กม. น้ำตกท่าแพมี 10 ชั้น ชั้นที่นักท่องเที่ยวสามารถเล่นน้ำได้ คือ หนานแพน้อย หนานนางครวญ และหนานเตย




อยู่หมู่ที่ 5 ตำบลคลองละอาย สามารถเดินทางจากตัวเมืองนครศรีธรรมราช ไปตามเส้นทางสายนครศรีธรรมราช-ลานสกา-จันดี (ทางหลวงหมายเลข 4015) ระยะทาง 55 กม. เป็นน้ำตกที่สวยงามมี 5 ชั้น ชั้นที่สามารถเล่นน้ำได้ คือ หนานช่องส้มหลอด หนานต้นเหรียง และหนานเลากา


อยู่หมู่ที่ 3 ตำบลสวนขัน สามารถเดินทางจากตัวเมืองนครศรีธรรมราช ไปตามเส้นทางสายนครศรีธรรมราช-ลานสกา-จันดี (ทางหลวงหมายเลข 4015) ระยะทาง 55 กม. และต่อรถโดยสารประจำทางสายจันดี-พิปูน ระยะทาง 4 กม. บริเวณรอบน้ำตกยังเป็นป่าธรรมชาติที่สมบูรณ์สวยงามเหมาะแก่การเดินป่า ชมธรรมชาติ ศึกษาพันธุ์ไม้



วัดธาตุน้อย วัดจันดี

วัดนี้ตั้งขึ้นโดยความประสงค์ของพระครูพิษฐอรรถการ โดยยึดรูปแบบมาจากวัดพระมหาธาตุทั้งหมด องค์พระเจดีย์ มองเห็นเด่นแต่ไกล ถ้านั่งรถไฟเข้าสู่กรุงเทพมหานคร ก่อนขบวนรถจะถึงสถานีคลองจันดี จะมองเห็นพระเจดีย์อยู่ทางซ้ายมือ ปัจจุบันวัดนี้จัดได้ว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยว เพื่อนมัสการพ่อท่านคล้ายวาจาสิทธิ์, พระพุทธไสยาสน์, รอยพระพุทธบาท, พระเจดีย์, พระกัจจายนะ และ พระกวนอิมโพธิสัตว์ เป็นต้น

No comments:

Post a Comment